Tuesday, November 01, 2005

เมื่อไก่อยากเป็นแพะ

“ป๊าบๆๆ” เสียงเจ้าโต้งไก่เพศผู้กำลังตีปีกอยู่บนหลังแพะสาวอย่างสบายอกสบายใจ ท่ามกลางสายตาของแพะฝูงใหญ่ที่กำลังเดินลงไปเล็มหญ้าบริเวณหน้าคอก เจ้าโต้งกลับไม่รู้สึกรู้สมอะไรเลย

เจ้าโต้งเป็นไก่บ้านเพศผู้สีลายเหลืองปนดำตัวเขื่อง ขนาดประมาณ 2 กิโลกรัม นับว่าสีสันของเจ้าโต้งสวยสะดุดตามากทีเดียวสำหรับไก่บ้านทั่วไป รวมทั้งพฤติกรรมของมันด้วยซึ่งแปลกกว่าบรรดาไก่ที่ผมเคยรู้จัก

เจ้าโต้งเป็นไก่พี่ใหญ่มีอำนาจเหนือบรรดาไก่ในฟาร์มทั้งหมด นับดูแล้วมีไก่อยู่ 2 พ่อ กับ 1 แม่ และ 5ลูกเจี๊ยบ เจ้าโต้งมีคู่แข่งเป็นไก่เพศผู้พันธุ์เดียวกันตัวสีแดงซึ่งเป็นไก่รองบ่อนเสมอ หากมีสิ่งใดที่มีค่า เช่น อาหาร หรือการได้ผสมพันธุ์ เจ้าโต้งมักแย่งชิงไปก่อนเสมอ

ในตอนแรกผมไม่ได้คิดจะเลี้ยงไก่ไว้ในฟาร์มเลยเพราะ เคยเลี้ยงแล้วส่วนใหญ่จะโดนสุนัข หรือสัตว์ป่ามาขโมยกินไปเสียหมด โดยเฉพาะตอนที่เลี้ยงเจ้า”ดวงดี”สุนัขพันธุ์โดเบอร์แมน ดวงดีมันล่อซะเกลี้ยงเล้าเลย แต่ด้วยความที่ลูกน้องรบเร้าว่าอยากเลี้ยงไก่เผื่อไว้เป็นอาหารยามที่จำเป็นออกไปที่ตลาดไม่ได้ ผมก็เลยยอมซื้อให้

ตั้งใจไว้ว่าจะเลี้ยงตัวผู้ตัวเดียว ตัวเมียสัก 3-4 ตัว จะได้ไว้ออกลูกออกหลานได้สมใจอยากเจ้าติ๊บลูกน้องตัวดี ผมเลยสั่งชาวบ้านที่เลี้ยงไก่บ้านสายพันธุ์พื้นเมืองให้เขาเอาไปส่งในฟาร์มเลย ไม่กี่วันก็ได้ของที่สั่ง แต่ดันได้ตัวผู้มา 2 ตัว ตัวเมียแค่ตัวเดียว อ้าวไหนเป็นงี้ละ สอบถามเจ้าของไก่ได้ความว่าวันที่จับไก่พวกมันบินหนีออกจากเล้า พอหนีได้แล้วก็ไม่กลับเข้ามา พากันขึ้นไปนอนอยู่บนต้นไม้ เจ้าของว่าจับยากมาก เมื่อคว้าตัวไหนได้ก็ส่งมาก่อน ก็เลยได้ไก่มาอย่างนี้เอง

จากนั้นมาก็ไม่เห็นมาส่งไก่ตัวเมียอีกเลย สงสารเจ้าไก่รองบ่อนเลยไร้คู่ ตกเป็นเบี้ยล่างเจ้าโต้งเสมอ

ไก่ชุดนี้ช่างเป็นไก่แปลกจริงหนอ ดังเจ้าของเก่าว่าไว้ว่าจับยากเสียจริง เพราะ มีเล้าแต่ไม่ยอมนอน ชอบบินขึ้นไปนอนอยู่บนกิ่งไม้ สิ่งที่ดีสำหรับฟาร์มคือ เจ้าโต้งและพรรคพวกเป็นตัวเก็บกวาดเศษข้าวที่ทองดำ และ “ฉุยฉาย”ลูกหมาตัวใหม่ กินเหลือไว้นับว่าดีมากเพราะมักจะมีเศษข้าวเรี่ยราดตามพื้นเสมอ

เรื่องประหลาดมีอยู่ว่าหลังจากฤดูผสมพันธุ์ แน่นอนเจ้าโต้งได้เป็นเจ้าบ่าวของไก่สาวสุดสวย เมื่อเจ้าหล่อนเริ่มวางไข่ และมีลูกเจี๊ยบออกมา หล่อนก็ไม่สนใจพวกผู้ชายอีกเลยได้แต่ฟูมฟักลูกน้อยของเธอ ทำเอาเจ้าโต้งห่อเหี่ยวไปนานทีเดียว

อยู่มาวันหนึ่งเจ้าโต้งไปด้อมๆมองๆที่คอกแพะยามเช้าตรู่ สักพักก็พลุบเข้าไปในคอกแพะ เมื่อเปิดประตูคอกออกมาเจ้าไก่ตัวแสบกลับตีปีกทำท่าอย่างกับว่ามันเป็นเจ้าของคอกแพะซะอย่างนั้น “ไอ้นี่ ชักจะเอาใหญ่แล้ว” ผมด่ามันด้วยความรำคาญที่ลมใต้ปีกมันพัดเอาฝุ่นมาเข้าตาผม

หลังจากวันที่เจ้าโต้งได้เข้าไปสัมผัสบรรยากาศในคอกแพะแล้วมันก็ติดใจ ทุกเช้ามันจะขึ้นไปอยู่ที่คานไม้ภายในคอกแพะ บางวันก็ขันกวนใจพวกแพะซึ่งพักผ่อนกันอยู่

เมื่อปล่อยแพะลงมาหาอาหารเวลาใด เจ้าไก่สุดประหลาดก็จะปรี่เข้ามารวมฝูงด้วย ทำเหมือนว่าเป็นหนึ่งในฝูงแพะเหล่านั้น มันคงจะเหงาที่มันไม่สามารถหาสาวเจ้าใดมาเป็นคู่ครองได้ รวมทั้งเบื่อที่จะคบกันไก่รุ่นน้องผู้อ่อนหัดเสียกระมัง จึงหันมาเปลี่ยนรสนิยมคบสัตว์เท้ากีบเป็นเพื่อน อย่างน้อยก็มีเพื่อนตัวใหญ่กว่า

เจ้าโต้งเป็นเช่นนี้ประจำมันมักจะมั่วนิ่มรวมฝูงไปกับแพะด้วยเสมอ ผมจึงเห็นภาพเจ้าโต้งขี่หลังแพะ จิกแพะ กระเซ้าเย้าแหย่กันกับแพะเสมอๆ

พวกแพะก็มักจะทำเฉยกับเจ้าโต้ง ดูหน้าตาเหล่าแพะสื่อว่า”ไม่ใช่พวก” ไม่รู้จะทำปฏิกริยาอย่างไร พวกแพะตัวใหญ่มักจะยืนนิ่งให้เจ้าโต้งขี่หลังกระพือปีกให้ อาจจะเป็นเพราะ “ลมมันเย็น” ก็เป็นได้ ยกเว้นพวกแพะเล็กมักจะไม่ชอบเจ้าไก่ตัวนี้เท่าไรนัก เพราะมันมักจะออกลายนักเลงกับแพะเล็ก อวดทำนองว่าบรรพบุรุษมันเป็นไก่ชนนะ

เจ้าโต้งทำท่าเหมือนไก่นักเลงในบ่อนชนไก่ไม่มีผิด คอยสับจงอยสลับดีดเดือยอันทู่ของมันใส่พวกแพะเด็กๆ บรรดาแพะเด็กจึงพยายามเลี่ยงให้ห่างเจ้าโต้ง บางทีหากอยู่ใกล้แม่แพะ เจ้าโต้งก็โดนควิดเข้าสักทีหนึ่ง สะใจภาษาแพะนานแล้วเจ้าแม่ไก่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะให้เจ้าโต้งได้ลิ้มลองความสาวอีกครั้ง เจ้าโต้งก็ดูหงุดหงิดขึ้นคอยทำตัวเกเรมากขึ้นเรื่อยๆ จนสัตว์อื่นในฟาร์มพากันรังเกียจแม้แต่เจ้าทองดำก็ยังเห่าไล่เมื่อเจ้าไก่เกเรมากินเศษข้าวที่เหลือทิ้ง

ในที่สุด เจ้าโต้งก็พบทางออก …………

บ่ายวันหนึ่ง ขณะเดินกลับมาจากทุ่งหญ้า เจ้าโต้งก้อขึ้นขี่หลังแพะตามปกติ แต่ทีนี้มันยอดมาก เจ้าไก่หน้าหื่นเริ่มเล่นโยกเยกเอย น้ำท่วมเมฆ เหลือเชื่อเจ้าไก่ตัวเขื่องเล่นเซ็กส์กับแพะสาวตัวใหญ่กว่ามันเกือบยี่สิบเท่า

ผมจึงไปถามคนงานให้รู้แน่เห็นชัดว่าเอาอะไรให้เจ้าโต้งกิน คนงานตอบมาเป็นเรื่องปกติว่า”มันเป็นงี้ตั้งนานแล้วนะ ก้อไม่ยอมซื้อแม่ไก่มาให้ผมนี่” สรุปแล้วว่าเป็นความผิดผมที่ไม่เอาแม่ไก่มาให้เจ้าโต้งผสม

นึกไปนึกมานอกจากผมผิดกับเจ้าโต้งแล้วผมยังผิดกับเจ้าไก่รองบ่อนตัวแดงอีกด้วย สงสัยว่ามันจะเป็นไก่เก็บกดไปเสียแล้ว สาวก็ไม่ได้แอ้มแถมโดนเจ้าโต้งรังแกอีกต่างหาก หลังจากนั้นผมก็ได้เห็นเจ้าโต้งผสมพันธุ์กับบรรดาแพะทั้งหลายอีกหลายที อาจจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆจนกว่าแม่ไก่ตัวงามจะเลี้ยงลูกจนเติบใหญ่ก็เป็นได้

สิ่งที่ค้างคาใจในขณะพิมพ์อยู่นี้ก็คือว่า เจ้าโต้งมันเลือกแพะที่มันจะมีอะไรด้วยอย่างไร จะมีแพะตัวผู้ด้วยหรือไม่ เพราะผมก็ไม่เคยสังเกตจริงจังสักทีว่ามันเคยขี่ตัวผู้หรือเปล่า

สงสัยพรุ่งนี้จะต้องไปสังเกตดีๆสักครั้ง

Thursday, September 29, 2005

แอ่วกาดนัดวัวควาย

“อ้ายๆ เอาบ๋อ คู่นี้ ซาวเอ็ด”เสียงพ่อค้าต่างถิ่นร้องบอกราคาวัวที่นำมาผูกไว้ขายที่ตลาดนัดวัว-ควาย อยู่กลางตัวเมืองจังหวัดพะเยา ท่ามกลางฝูงวัวด้านหน้าตลาดนับร้อยๆตัวอยู่อย่างระเกะระกะ บ้างก็นอน บ้างก็ลุกขึ้นยืนดูผู้คนมากมายที่ผ่านเข้าไปเบียดเสียดกับฝูงวัวเหล่านั้น บางทีก็โดนวัวเบียดกลับมาบ้าง

เช้าวันจันทร์ในเดือนกันยายนเป็นช่วงปลายฤดูฝนเหมาะแก่การเดินดูตลาดนัดวัวควาย ผมนัดกับ ”อ๊อด”ซึ่งเป็นลูกชายของ”พี่ลัมซา”ซึ่งเป็นมุสลิม พี่ลัมซาเลี้ยงวัวมาได้ 30 ปีแล้ว ชำนาญการเลี้ยงและการขายวัวทุกรูปแบบ ผมนับถือเป็นพี่ชายผมคนหนึ่ง พี่ลัมซานิสัยดีมากและเป็นคนกว้างขวาง

การนัดของเราครั้งนี้มีอันต้องล่าช้า เรานัดกันตี 4 ที่คอกวัวของพี่ลัมซา ผมตื่นมาตี4 ครึ่ง อย่างสะลึมสะลือ เมื่อรู้ตัวมองนาฬิกาก็รีบกระโจนออกจากเตียง ขับรถออกจากม.ราชภัฏเชียงราย(ผมมานอนหอพัก) รีบบึ่งรถด้วยความเร็วฝ่าความมืดออกไป กว่าจะถึงที่คอกวัวก็ตี 5 พอดี เห็นอ๊อดเดินออกมารออยู่หน้าคอกวัว ผมต้องขอโทษเป็นการใหญ่ เพราะผมตื่นตี 4 ครึ่งมา สองวันแล้วเพื่อไปดูตลาดนัดวัวต่างอำเภอในจังหวัดเชียงราย ซึ่งมักจะเริ่มในตอนเช้ามืด

ตลาดนัดที่ผมไปแทบทุกที่มักจะมีสภาพเป็นดินแดง บางที่ก็มีคอกกักสัตว์ทำด้วยไม้ยูคามาตีเป็นคอกสี่เหลี่ยมกว้างยาวพอกัน ประมาณด้านละ 4-5เมตร บางที่หากเป็นตลาดระดับอำเภอก็จะไม่มีคอกสัตว์ ใครพอใจมัดวัว มัดควายไว้ตรงไหนก็มัด หากหาไม่ได้จริงๆก็มัดติดกับรถที่ขนเจ้าพวกนี้มานั่นแหละ

รถทุกคันที่มาที่ตลาดนัดเพื่อนำวัวควายมาขายก็จะติดคอกที่กระบะหลังไว้ทุกคัน

สิ่งที่พ่อค้าต้องนำมาด้วยคือ เชือกสำหรับคล้องและจูงสัตว์ วัวบางตัวตื่นสถานที่ก็จะวิ่งหนีไปเรื่อย จึงต้องมัดไว้ตลอด แต่ส่วนใหญ่วัวควายที่มาที่ตลาดนัดก็จะร้อย”ดัง”มาแล้วเกือบทุกตัว การร้อยดังก็คือการนำเหล็กแหลมตรงปลายมีรูคล้ายเข็มหมุดสอดเชือก แทงลงไปที่ผนังกลางจมูก แล้วร้อยเชือกติดไว้ตลอด เพื่อบังคับพวกมันได้ง่าย เมื่อใดที่พวกมันแสดงอาการไม่เชื่อฟัง คนจูงก็จะจับบังคับเชือกที่ร้อยติดจมูกนั่นแหละ ดึงให้มันเจ็บ ทีนี้ก็จะเริ่มเชื่อฟังแล้ว ดึงซ้ายก็ไปซ้าย ดึงขวาก็ไปขวา โบราณเขาเปรียบเทียบว่า”โง่เหมือนควาย” คงเป็นเพราะการที่มันโง่ไม่เชื่อฟังคำสั่งแล้วทำให้ต้องเจ็บตัว เป็นวิธีที่ผู้ใหญ่ใช้สอนเด็กไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง จึงใช้ควายมาเปรียบเพราะเห็นได้ชัด

อ๊อดบอกผมว่าถ้าคิดจะศึกษาเรื่องวัว หรือการทำฟาร์มต้องมาดูสินค้าที่ตลาดบ่อยๆ จะทำให้เราไม่พลาดโอกาส หรือ โดนพ่อค้าหัวใสกดราคาขายเราได้ เพราะ ตามปกติราคาขายที่ฟาร์มมักจะโดนกดโดยพ่อค้าคนกลางอยู่เสมอ ซึ่งราคาขายวัวควายเฉลี่ยทั้งประเทศที่ภาคเหนือมีราคาต่ำที่สุด นอกจากเรื่องการขนส่งซึ่งอยู่ไกลตลาดกรุงเทพ แล้วยังมีปัจจัยเรื่องการเก็งกำไรจากพ่อค้าคนกลางอยู่มาก
ตลาดนัดพะเยานี้ใหญ่กว่าตลาดที่ผมไปมาเมื่อสองวันก่อนหน้า เพราะเป็นตลาดระดับภูมิภาค”ภาคเหนือตอนบน”
เมื่อหาที่จอดรถกระบะได้ข้างๆรถหกล้อขนวัว ก็รีบเสียบเข้าไปตรงที่เป็นเนินดินไม่แฉะมาก ซึ่งหาที่ที่ไม่แฉะแบบนี้ค่อนข้างยากในช่วงเวลาฟ้าหลังฝนอย่างนี้

เรารีบลงมาดูด้วยความตื่นเต้นว่า “วัวมากมายอะไรอย่างนี้” เฉพาะที่ผูกล่ามไว้ด้านหน้าเป็นวัวรูปเลี้ยงดูลานตาไปหมดไม่น่าจะต่ำกว่า 300 ตัว ยังมีด้านหลังสำหรับควายกับวัวตัดและตรงกลางที่เป็นคอกสัตว์อีกจำนวนมาก

ผมเล็งวัวลักษณะต่างๆ และจะประมาณราคาขายของผู้ขายไว้ในใจเสร็จแล้วก็ตรงเข้าไปถามราคาจากผู้ขาย ซึ่งมักจะได้คำตอบที่ผิดเพี้ยนจากที่คิดเสมอ บางทีก็สูงไป บางทีก็ต่ำไป

ในการซื้อขายวัว มักจะใช้ราคาอยู่สองแบบ คือ

แบบที่หนึ่ง เป็นวัวตัด(วัวเชือด) การซื้อขายแบบนี้ง่ายเพราะ เป็นการอ่านน้ำหนักจากตัววัวเป็นๆ ซึ่งพ่อค้าที่ชำนาญมักจะตีค่าน้ำหนักตัววัวออกมาค่อนข้างเที่ยง แล้วก็คูณราคาที่พ่อค้าจะซื้อ ซึ่งจะนำไปรวมกับค่ารถอีกทีว่าไปไกล้ไกลที่ไหน เมื่อหักราคาที่พ่อค้าขายได้ปลายทางก็จะทราบกำไรทันทีที่จบการต่อรอง ส่วนสถานที่ปลายทางก็แล้วว่าใครมีปัญญาขายได้แค่ไหน หากจะเข้าโรงเชือดที่กรุงเทพราคาเดือนนี้อยู่ที่ประมาณ 44 บาท/กก.วัวเป็น พี่ลัมซาบอกว่าการขายแบบนี้พ่อค้ามักจะซึ้อขายกันเน้นจำนวน มีกำไรต่อตัวเป็นเพียงหลักร้อย

แบบที่สอง เป็นการขายเป็นแม่พันธุ์ พ่อพันธุ์ แบบนี้ยาก เพราะอยู่ที่ความพอใจของผู้ซื้อผู้ขาย บางทีเราก็เห็นพ่อค้าขายได้แต่วัวแพงๆ ส่วนตัวถูกๆยังไม่ได้ขาย ทำให้ผมงงมากทั้งๆที่คิดอยู่ในใจว่าสินค้าใกล้เคียงกัน

ในการซื้อพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ นั้นต่างคนก็ต่างหลักการ นอกจากเหตุผลทางกายภาพ เช่น ลักษณะเนื้อดี โครงสร้างกระดูกดีแล้ว บางคนยังมีอุดมคติต่างๆนานา เช่น ต้องเป็นวัวสีแดงถึงจะดี (โคบาลภาคเหนือชอบสีแดง) จึงทำให้พ่อค้าภาคอีสานที่ขนวัวมาขายภาคเหนือมักจะคัดมาแต่สีแดง ส่วนสีอื่นๆ ไม่เข้าตาส่งโรงตัดที่อีสานไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้แล้วยังมีลักษณะที่ถือตามท้องถิ่นอีก เช่น ลักษณะขวัญที่ดีและไม่ดี ขนตาก็มีผลด้วย แต่ในปัจจุบันไม่ค่อยถือกันมากนัก ซึ่งลักษณะต่างๆได้มาจากคำบอกเล่าของผู้เฒ่าผู้แก่ตามท้องถิ่น หาอ่านตามตำราได้ยาก หากมีโอกาสจะรวบรวมข้อมูลด้านนี้ไว้

หากเป็นวัวแม่พันธุ์ต้องไม่แก่ไปนัก เพราะ หากให้ลูกมาหลายครั้งร่างกายจะโทรมไปมาก โดยธรรมชาติแล้วแม่วัวจะให้ลูกได้ถึง 12 ตัว แต่ในสภาพการเลี้ยงแบบชาวบ้าน ที่ผูกล่ามตามข้างถนน หาอาหารให้บ้างไม่ให้บ้าง มักจะโทรมเร็วกว่าวัวฟาร์มที่มีการบำรุงอย่างดี

แม่พันธุ์ที่ดีต้องเลี้ยงลูกเก่ง และให้ลูกวัวที่มีโครงสร้างดี ที่ตลาดจึงนิยมที่จะซื้อแม่-ลูกวัวไปพร้อมๆกัน เพราะมั่นใจเห็นของแล้วว่าเป็นอย่างไร และ แม่วัวให้ลูกได้ ไม่เกิดการแท้ง ซึ่งบางทีอาจจะเกิดจากการติดเชื้อบลูเซลโลซิส วัวที่ติดเชื้อนี้แล้วต้องคัดทิ้งอย่างเดียวเพราะมีโอกาสที่จะผสมไม่ติด หรือ แท้งลูกไปเสมอ และสามารถติดต่อโดยการผสมพันธุ์ หากติดต่อพ่อพันธุ์ของฟาร์ม นั่นหมายถึง หายนะทีเดียว เพราะ พ่อพันธุ์เป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากในการประกอบกิจการฟาร์ม

ราคาของแม่พันธุ์มักจะสูงกว่าราคาวัวตัด ประมาณ 1.5-2เท่า เมื่อเทียบโดยน้ำหนัก ยิ่งแม่พันธุ์มีลักษณะดี สูงใหญ่มากเท่าใด ราคาก็จะยิ่งสูงตามไปด้วย

การขายพ่อพันธุ์นี่เรียกว่าเป็นที่สุดแห่งที่สุดของการเก็งกำไร ในวงการนี้เลยทีเดียว ซึ่งราคาจะเริ่มต้นที่ หมื่นนิดๆ ไปจนหลักล้าน ส่วนตลาดท้องถิ่นอย่างนี้จะขายได้สูงสุดก็ประมาณแสนบาท เรียกว่าสูงมากแล้ว ในการดูพ่อพันธุ์เรียกว่าดูกันตั้งแต่หัวจรดหาง แทบจะส่องกันทุกรายละเอียด การขายนี้มีทั้งคนหลอกคน วัวหลอกคนมานักต่อนักแล้ว

เดินดูได้สักพักประมาณ 8 โมงแล้ว ยังมีรถพ่อค้าเข้าตลาดไม่ขาดสายทำให้บริเวณที่แน่นขนัดอยู่แล้วยิ่งแน่นเข้าไปอีก โดยเฉพาะรถพ่อค้าที่มาหาซื้อวัวไปขุนจากอุดรพากันมาเกือบสิบลำรถหกล้อเหมาวัวไปเป็นร้อยตัว

คนเยอะเข้าชักจะเบื่อคนมากกว่าเบื่อวัว เลยเข้าไปนั่งซดกาแฟที่โต๊ะออกตั๋วซื้อขายวัว ถือโอกาสเช็ค ข้อมูลการซื้อขายไปในตัว

ฝ่ายออกตั๋วใช้พนักงาน 3 คน ออกตั๋วสำหรับยืนยันการซื้อขายวัวควาย คิดค่าบริการตัวละ 20 บาท เป็นข้อมูลบัตรประชาชนของคนซื้อและคนขาย หากจะขนย้ายในจังหวัดไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมจากปศุสัตว์ หากจะขนย้ายไปไกลต้องให้ปศุสัตว์จังหวัดมาทำเบอร์ และรับรองการเคลื่อนย้ายซึ่งมีค่าใช้จ่ายอีก

การซื้อขายวัวควาย การได้เปรียบเสียเปรียบกันอยู่ที่การอ่านน้ำหนักด้วยสายตา ใครอ่านได้เที่ยงตรงกว่าก็มีสิทธิ์ที่จะเดาราคาที่ถูกต้องได้มาก รวมทั้งการดูโครงสร้างของวัวกรณีนำไปขุน หรือเลี้ยงทำพันธุ์ในฟาร์ม
ส่วนใหญ่พ่อค้าด้วยกันจะรู้ทันกันและไม่เสียเปรียบได้เปรียบกันมากนัก ต่างคนต่างรู้ไต๋กันอยู่

ในตลาดนัดนี้มีการเก็งกำไรกันอย่างสนุก อย่างเช่น เราไปซื้อแต่เช้า ตกลงซื้อสินค้ากับผู้ค้าติดมัดจำไว้ก่อน เต่อมามื่อมีคนเข้าตลาดก็เสนอขายผู้อื่นได้สูงกว่าที่เราซื้อ ส่วนมากจะได้กำไรระหว่าง 500- 1,000 บาท/ตัว เราก็จะได้กำไรทันทีโดยที่ไม่ต้องมีสินค้า อย่างนี้เรียก “จับเสือมือเปล่า”เมื่อได้ยินว่าใครทำได้ผมจะเข้าไปดูทันที

คิดๆดูแล้วตลาดนัดวัวควายนี้ นับว่าเป็นตลาดทุนของชาวบ้านและพ่อค้าวัวจริงๆ อาจมีส่วนคล้ายเปรียบเหมือนตลาดหุ้นของคนรวยบ้าง แต่ชาวบ้านเขาเก็งกำไรบนพื้นฐานของสิ่งที่มีอยู่จริงจับต้องได้ อย่างน้อยเงินเขาก็เปลี่ยนเป็นสิ่งที่นำไปทำอาหารได้ และเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดสังคมของการแลกเปลี่ยนมีการพบปะตัวตนกันจริงๆมีเสียงหัวเราะและการแสดงไมตรีจิตกัน นับว่าเป็นสังคมรูปแบบหนึ่งของชาวบ้านผู้ค้าวัว

ในตลาดนี้มีการซื้อขายกันอย่างเสรี พอใจซื้อก็ซื้อ พอใจขายก็ขาย มีตัวเลือกมากมาย หรือจะไปแลกเปลี่ยนสัตว์กันก็ได้แล้วแต่ความพอใจ รวมทั้งมีการเก็งกำไรที่น่าสนุก บางคนก็นำวัวจากแดนไกลมาแร่ขาย
ในช่วงนี้ภาคเหนือฮิตกันเหลือเกินกับพันธุ์ อินดู-บราซิน วัวพันธุ์ประดับ จะเนื้อก็ไม่ได้ จะนมก็ไม่ใช่ มีดีที่หูยาว หน้าสวย เหมาะแก่การเป็นของประดับเหลือเกิน เมื่อดูแล้วผู้ชำนาญการบอกว่าพวกนี้เป็นเศษวัวที่พ่อค้าแดนไกลเสียดาย เขาเก็บลูกดีๆไปหมดแล้ว ที่เหลือก็ไม่ยากเข้าโรงตัดทั้งที่จริงแล้วสมควรเข้า เพราะไม่เหมาะทำพันธุ์แล้ว จะเพราะอะไรนั้นผมไม่ทราบเพราะยังดูวัวไม่ค่อยเป็น

“พี่อามีน”พี่ชาวอิสรามอีกคนเคยบอกผมว่าหากดูวัวเป็นวัวแล้ว ไม่ต้องคิดมาทำวัว เพราะเวลาดู เราต้องสังเกตได้ว่าวัวตัวนี้เป็นพันธุ์อะไร มีโครงสร้างหรือไม่ อายุเท่าไหร่ หากจะเลี้ยงต่อไปจะทำนายลักษณะตอนโตว่าเป็นอย่างไร ซึ่งล้วนเป็นข้อมูลที่สำคัญในการคัดเลือกวัวเข้ามาในฝูงปศุสัตว์ของเรา เพราะหากเรายังคงมอง”วัวเป็นวัว”อยู่โดยไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริง เราก็จะกลายเป็นวัวหันเสียเอง

แดดคล้อยลงมาเกือบกลางกระหม่อม ผมจึงชวนอ๊อดกลับเชียงรายเพราะอากาศร้อนแล้ว ชักจะดูวัวไม่สนุก อันที่จริงการซื้อขายยังดำเนินต่อไปอย่างเข้มข้น ทำให้ผมตั้งใจไว้ว่าจะกลับมาอีกในไม่ช้านี้

Tuesday, September 27, 2005

วันข่าวร้าย มาเยือนฟาร์ม

วันหนึ่ง ดูทีวี มีข่าวด่วน เกี่ยวกับแพะ

วันนั้น ไม่คาดหวัง จะได้พบ ข่าวร้ายจริง

วันที่เขา ประกาศว่า พบแพะป่วย ติดต่อคน ทำงานฟาร์ม

วันทั้งวัน พร่ำออกข่าว ว่าคนงาน ไข่บวมแล้ว

วันนั้นเอง ปศุสัตว์ ให้ระวัง เชื้อนี้ชื่อ บลู-เซล-โล-ซิส

วันสับสน ของชาวแพะ มาเยือนแล้ว ทำไงหนอ แพะของกู ช่างโชคร้าย

วันอดสู แพะเมืองกาญจน์ ตัวแพร่เชื้อ หนอยแน่เอ็ง เอาแพะนอก มาระบาด

วันแสนเศร้า ของฟาร์มใหญ่ ศิริชัย โดนกวาดเรียบ เกือบสามพัน

วันระยำ ฉีดยาแพะ ให้ตายสิ้น จากภาคกลาง

วันต่อมา ก็ออกข่าว ว่าแพะเป็น แท้งติดต่อ ฟังดูแล้ว โคตรน่ากลัว

วันตระหนก เพราะว่าเชื้อ นั้นสามารถ ติดถึงคน บริโภค

วันน่ากลัว แพะเป็นโรค ทั้งประเทศ มีอยู่จริง

วันที่ข่าว แพร่สะพัด ช่างแสนเศร้า ไปถามหมอ ทำไงดี

วันของหมอ ต้องทำงาน ไว้สักพัก รอแผนการ จากจังหวัด

วันถัดมา หมอมาบอก แย่แล้วเอย แพะเชียงแสน ต้องตรวจโรค ตามขั้นตอน

วันนี้เอง ปศุสัตว์ มาห้าคน พวกนักข่าว ก็แสนจุ้น พากันมา ตั้งหลายคน

วันทั้งวัน ไปตรวจฟาร์ม อยู่สองฟาร์ม

วันช่วงเช้า ตรวจฟาร์มนม ในเชียงแสน

วันช่วงบ่าย ถึงจะเข้า ตรวจฟาร์มกู

วันเวลา ตรวจฟาร์มแรก ก็สวดมนต์ ขอฝนตก ไล่นักข่าว กับพวกหมอ ห้ามเข้าไป

วันอะไร แดดออกดี กลางหน้าฝน บ้าจริงเชียว

วันนี้เอง แพะของกู โดนเจาะเลือด ร้อยยีบห้า ขวดเซรุ่ม ส่งลำปาง

วันถัดมา ประกาศออก จะชดเชย ให้เจ้าของ สามส่วนสี่ ที่เสียหาย ไปจริงๆ

วันนั้นเอง แสนกังวล ถ้าแพะซวย เจอแจคพอต เทียบกับคน ที่เป็นเอดส์

วันเศร้าใจ เอาเลือดกู ไปตรวจแทน พวกแพะเหอะ จะยอมหมอ ให้ปักเข็ม ลงแขนกู

วันสองวัน โทรถามหมอ ว่าเป็นไง หมอก็บอก ให้รอไป อีกหน่อยนะ

วันที่สาม ทนไม่ไหว โทรอีกแล้ว หมอประชุม อยู่โรงบาล

วันที่สี่ หมอรับสาย ชักรำคาญ บอกให้รอ ติดวันหยุด

วันที่ห้า นั่งกังวล สงสารแพะ สงสารกู ไปหาแม่ กอทอมอ

วันที่หก เป็นวันพุธ ไปหาเพื่อน แก้เซ็งโว้ย เพื่อนแฟร้งค์ก้อ พาไปกิน ร้านญี่ปุ่น

วันอัศจรรย์ เสียงหวานๆ โทรมาจาก ปศุสัตว์ รายงานว่า แพะทั้งฝูง ปลอดโรคหมด

วันแสนทุกข์ ผ่านพ้นไป ยกภูเขา ออกจากอก ช่างสุขขี

วันนี้กู แสนรื่นรม สมฤดี ข่าวจัญไร ได้พ้นไป ไร้กังวล
---

พิมพ์แบบนี้สนุกดี อ่านในการเดินทางครั้งนี้ไม่ธรรมดา เลยลองดูบ้าง